บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จากัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่ ‘A+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิต ‘A+(tha)’ ของ GPSC ได้รวมถึงอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับจากอันดับเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ที่ ‘a(tha)’ ฟิทช์ได้พิจารณาความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงาน และด้านกลยุทธ์ระหว่าง GPSC และบริษัทแม่ ซึ่งได้แก่ บริษัท ปตท. จากัด (มหาชน) หรือ ปตท. (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ว่าอยู่ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Criteria)
อันดับเครดิตโดยลำพังของ GPSC สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัทฯเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของประเทศมีกำลังผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 ของกำลังผลิตทั้งหมดของประเทศ บริษัทฯมีทรัพย์สินที่มีคุณภาพดี โดยเป็นโรงไฟฟ้าในประเทศไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ซึ่งมีกระแสเงินที่สม่ำเสมอ เพราะรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวกับคู่ค้าที่มีสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่ง
ฟิทช์คาดว่า ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะยังอยู่ในระดับสูงในช่วงห้าปีข้างหน้า ซึ่งจำกัดการลงลดของอัตราส่วนหนี้สินในระยะสองถึงสามปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ฟิทช์เชื่อว่า GSPC จะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO net leverage) ที่ประมาณ 4 ถึง 5เท่าได้ (ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 เท่ากับ 4.4 เท่า) ซึ่งสอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทฯ
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
ได้รับผลกระทบไม่มากจากการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส: ฟิทช์คาดว่ากำไรของบริษัทฯจะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการแพร่ระบาดฯ โดยประมาณร้อยละ 73 ของรายได้จากขายไฟฟ้าและไอน้ำ มาจากสัญญาการขายไฟฟ้าระยะยาว ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัทลูกของ ปตท. โดยสัญญาดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงในด้านปริมาณการขายไฟฟ้าที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการกำหนดปริมาณไฟฟ้าขั้นต่ำที่ลูกค้าต้องรับซื้อ
บริษัทฯมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในช่วงหกเดือนแรกของปี 2563 เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯมีการรู้รายได้เต็มระยะเวลางบการเงินจาก บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน)(GLOW) อีกทั้งลูกค้าอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก จากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส ซึ่งได้แก่ ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น คิดเป็นเพียงร้อยละ 2 ของยอดขายไฟฟ้าภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก
สถานะทางธุรกิจที่ดี: บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการ GLOW ในเดือนมีนาคม 2562 ด้วยขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มีการกระจายตัวด้านสินทรัพย์และด้านภูมิศาสตร์ที่ดีขึ้น โดยกำลังการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำได้ของบริษัทได้เพิ่มขึ้นเป็น 4,747 เมกกะวัตต์ และ 2,701 ตันต่อชั่วโมง จาก 1,977 เมกกะวัตต์ และ 1,760 ตันต่อชั่วโมง ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 GPSC ได้กลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่อันดับที่ 3 ของประเทศ (จากอันดับที่ 6 ในช่วงก่อนเข้าซื้อกิจการ) โดยกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทเมื่อคิดเป็นสัดส่วนกับกำลังผลิตทั้งหมดของประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ10 จากร้อยละ 4
นอกจากนี้ GPSC ยังมีการกระจายตัวของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าของGLOW ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง (ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 16 ของกำลังผลิตทั้งหมดตามสัดส่วนการถือหุ้นของ GPSC หลังเข้าซื้อกิจการ) โดย GPSC อยู่ในระหว่างก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ซึ่งจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าและไอน้ำจำนวน 250 เมกกะวัตต์ และ 175 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งจะเริ่มดำเนินงานภายในปี 2566
รายได้ที่มั่นคง: GPSC มีรายได้ที่สม่ำเสมอ จากการที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ของบริษัทฯอยู่ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าของประเทศไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ฟิทช์คาดว่า บริษัทจะมี EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ถึง 1.9 หมื่นล้านบาท ในช่วงปี 2563 และ 2564 จา 1.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการรับรู้รายได้จาก GLOW เต็มระยะเวลางบการเงิน กำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ น่าจะอยู่ในระดับที่คงที่ ในระยะสองถึงสามปีข้างหน้า จากการที่ไม่มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่หมดอายุ
การก่อสร้างโรงไฟฟ้าทดแทน Glow Energy เฟส 2 น่าจะมีกระทบไม่มากนักต่อรายได้จากขายไฟฟ้า เนื่องจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวยังคงสามารถดำเนินกิจการได้ในระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าทดแทน และโรงไฟฟ้าใกล้เคียงของบริษัทฯ สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ในช่วงการโอนย้ายการดำเนินงานไปยังโรงไฟฟ้าใหม่ เนื่องจากโรงไฟฟ้าของบริษัทฯมีสายส่งที่เชื่อมโยงกัน
ค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูง: ฟิทช์ คาดว่า อัตราส่วน FFO net leverage จะอยู่ที่ระดับประมาณ 4 ถึง 4.3 เท่าในปี 2563-2565 (ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 เท่ากับ 4.4 เท่า) จากค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าทดแทนในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กของ GLOW และการเชื่อมโยงโครงข่ายโรงไฟฟ้าของ GSPC กับ GLOW ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วน FFO net leverage อาจเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณระดับประมาณ 5 เท่าในปี 2566 จากค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่สูงในโครงการ Energy Recovery Unit ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินน่าจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงหลังจากโครงการดังกล่าวเริ่มมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
ความสัมพันธ์กับ ปตท. ที่ระดับปานกลาง: ฟิทช์มองว่า GPSC เป็นบริษัทเดียวในกลุ่ม ปตท. ที่มีบทบาทในการกระจายรายได้ของกลุ่มไปยังธุรกิจไฟฟ้าซึ่งมีเสถียรภาพมากกว่า นอกจากนี้ GPSC ยังเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ รายหลักให้แก่บริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่น ซึ่งได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จากัด (มหาชน) หรือ PTTGC (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ AA+(tha) แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) และ บริษัท ไออาร์พีซี จากัด (มหาชน) หรือ IRPC (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ)
ทั้งนี้ GPSC มีสัดส่วน EBITDA หลังจากการเข้าซื้อกิจการ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7 ถึง 10 ของ EBITDA รวมของกลุ่ม แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าสัดส่วน EBITDA จากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่น
"ในระหว่าง" - Google News
September 09, 2020 at 11:05AM
https://ift.tt/2RaefmN
ฟิทช์ฯ คงเครดิต GPSC ที่ 'A+(tha)' แนวโน้ม `มีเสถียรภาพ` - efinanceThai
"ในระหว่าง" - Google News
https://ift.tt/36HoaHq
Home To Blog
No comments:
Post a Comment